ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

การสังเกต


...................เด็ก ๆ คะ กลับมาพบกับครูหลิว (สุดสวย...มั้ง!)

กันอีกครั้งนะคะ เด็ก ๆ คะครูหลิวอยากสอน เรื่องการสังเกตเพิ่มเติมน่ะค่ะ

แต่ก่อนอื่นขอท้าวความเดิมสักหน่อยนะคะ


..................การสังเกตเป็นหนึ่งในทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ขั้นพื้นฐาน

ที่มีทั้งหมด 8 ทักษะ การสังเกตถือเป็นทักษะพื้นฐานที่สำคัญมากทักษะหนึ่ง

เพราะการทำการทดลองในวิชาวิทยาศาสตร์ล้วนต้องใช้การสังเกตช่วย

การสังเกต หมายถึง การใช้ประสาทสัมผัสทั้ง 5 ได้แก่ ตา = มองดู หู = ฟัง

จมูก = ดมกลิ่น ลิ้น = ชิมรส ผิวกาย = สัมผัส และการใช้ประสาทสัมผัส

ในการสังเกตไม่จำเป็นต้องใช้ประสาทสัมผัสครบทั้ง 5 ประเภทค่ะ เพียงแต่เลือก

ใช้ให้เหมาะกับสิ่งที่เราสังเกตเท่านั้นค่ะ เช่น ในภาพนี้สมมติว่าเด็ก ๆ มองเห็น

บีกเกอร์เหล่านี้วางอยู่บนโต๊ะในห้อง LAB แล้วเด็ก ๆ ก็แสนที่จะสงสัยว่า

มันคืออะไรกันนะสีสวยจัง เด็ก ๆ จะเลือกใช้ประสาทสัมผัสใดบ้างคะ





ตอบยังเอ่ย ! เอาละมาช่วยกันคิดว่าประสาทสัมผัสใดใช้ได้บ้าง

1. ใช้แน่นอน ต้องใช้ ตา เป็นอันดับแรกอยู่แล้วค่ะ

ตา : ในบีกเกอร์มีของเหลวสีเหลือง สีเขียว และสีแดง

ตา : มีบีกเกอร์อยู่หลายใบวางบนโต๊ะ (การสังเกตเขาจะไม่ระบุตัวเลขค่ะ

ถ้าระบุตัวเลขจะเป็นอีกทักษะหนึ่งนั่นคือ ทักษะการคำนวณ ซึ่งน้อง ป.2

ของเราจะได้เรียนในภาคเรียนที่ 2 ค่ะ)

2. ใช้ จมูก

จมูก : ของเหลวในบีกเกอร์มีกลิ่น (เวลาทำการดมกลิ่นของเหลวในบีกเกอร์

เด็ก ๆ ต้องใช้วิธีโบกมือเหนือของเหลวนั้นให้ไอของกลิ่นนั้นมาเข้าจมูกค่ะ

ห้ามใช้จมูกสูดดมโดยตรง เพราะเราไม่แน่ใจว่า ของเหลวนั้นคืออะไร

ซึ่งถ้าเป็นกรดก็อาจจะเป็นอันตรายต่อเยื่อจมูกของเด็ก ๆ ได้ค่ะ และ

เมื่อดมกลิ่นแล้วไม่ต้องบอกว่า หอม หรือ เหม็น เพราะถ้าบอกว่า

หอมหรือเหม็นจะเป็นการใช้ความรู้สึกของตนเอง ซึ่งก็จะเป็นอีก

ทักษะหนึ่ง นั่นคือ ทักษะการลงความเห็นค่ะ)

....................จากภาพนี้จะสังเกตได้ว่าเด็ก ๆ ควรเลือกใช้ประสาทสัมผัส


เพียง 2 อย่างเท่านั้น เพราะเหตุว่า เมื่อเลือกใช้ประสาทสัมผัสดังกล่าว

แล้วจะไม่เป็นอันตรายต่อเด็ก ๆ นั่นเอง ดังนั้นสิ่งแรกที่เด็ก ๆ ต้องคำนึงถึง

ก็คือ ความปลอดภัย ค่ะ


แหม ! ทำหน้างง...เชียว ครูหลิวครับ แล้วประสาทสัมผัสที่เหลือ

ทำไมใช้ไม่ได้ล่ะครับ ฮ่า....ฮ่า.... ไม่สวยไม่บอกนะนี่ ครูหลิวใจดีจะ

บอกให้ค่ะว่าประสาทสัมผัสอีก 3 อย่างไม่เหมาะสมอย่างไรบ้าง

ประสาทสัมผัสที่ 1 หู : เนื่องจากเราไม่สามารถใช้หูฟังเสียงของเหลวที่อยู่

ในบีกเกอร์ได้ และการฟังก็ไม่สามารถบอกได้ว่าสิ่งที่อยู่ในบีกเกอร์นั้นคืออะไร

ประสาทสัมผัสที่ 2 ลิ้ : เราไม่ควรใช้ลิ้นชิมเลย เพราะสิ่งที่เราเห็นในบีกเกอร์

นั้นเราไม่แน่ใจว่ามันคืออะไร อาจจะเป็นอันตรายถึงขั้นเสียชีวิตได้ ดังนั้น

ประสาทสัมผัสส่วนลิ้นนี้จึงต้องใช้อย่างระมัดระวังที่สุดค่ะ

ประสาทสัมผัสที่ 3 ผิวกาย : การที่จะทำให้เราทราบว่าของเหลวที่อยู่ใน

บีกเกอร์ นั่นคืออะไรนั้นเราไม่สามารถใช้ผิวกายบอกได้ ดังนั้นจึงเป็น

การเสี่ยงเกินไปที่จะนำของเหลวนั้นมาสัมผัส แต่ควรเลือกใช้เครื่องมืออื่น ๆ

มาช่วยในการบอกว่าของเหลวนั้นคืออะไร เช่นอาจใช้กระดาษลิตมัส

ทดสอบความเป็นกรด-เบส เป็นต้น


................เป็นไงคะการสังเกตไม่ใช่เรื่องยากเลยนะคะ แต่ต้องฝึกบ่อย ๆ

แล้วเด็ก ๆจะเป็นคนช่างสังเกตโดยไม่รู้ตัวเลยล่ะคะ ซึ่งอนาคตครูหลิว

ก็จะมีลูกศิษย์เป็นนักวิทยาศาสตร์เต็มบ้านเต็มเมืองเลยล่ะค่ะ

รักเด็ก ๆ มากมาย














โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

สูตรท่องวิตามิน

...........................เด็ก ๆ คะ เด็ก ๆ รู้ไหมคะว่าวิตามินสำคัญต่อเราอย่างไรบ้าง วิตามินเป็นหนึ่งในอาหารหลัก 5 หมู่ที่เป็นปัจจัยจำเป็นต่อการดำรงชีวิตของ คนเราเลยนะคะ เพราะช่วยทำให้ร่างกายของเราสามารถทำงานได้เป็นปกติ ขับถ่ายสะดวก เราพบวิตามินได้ง่าย ๆ จากผลไม้ชนิดต่าง ๆ นั่นเองค่ะ และ โดยเฉพาะช่วงนี้ไข้หวัด 2009 กำลังระบาดมาก ๆ เพราะฉะนั้นการทำให้ ร่างกายแข็งแรงจึงเป็นสิ่งที่จำเป็นมาก ๆ ค่ะ และหนึ่งในวิธีที่จะป้องกันเจ้า เชื้อหวัด H1N1 นั้น การกินวิตามินซีก็ช่วยให้เราปลอดภัยจากเชื้อหวัดได้ ในระดับหนึ่งนะคะ (วิตามินซีได้จากการกินผลไม้รสเปรี้ยว หรือวิตามินซี แบบเม็ดก็ได้ค่ะ) ............................เอาละค่ะ ถึงเวลาที่ครูหลิวจะสอนสูตรท่องวิตามินแล้ว นะคะ พร้อมหรือยัง ไปกันเลย ยะ......ฮู้......... A หมายถึง วิตามินเอ เกี่ยวกับโรคตาฟ่าฟาง B หมายถึง วิตามินบี1 เกี่ยวกับเหน็บชา E หมายถึง วิตามินอี เกี่ยวกับการเป็นหมัน D หมายถึง วิตามินดี เกี่ยวกับกระดูก K หมายถึง วิตามินเค เกี่ยวกับเลือดไม่แข็งตัว B(2) หมายถึง วิตามินบี2 เกี่ยวกับโรคปากนกกระจอก...

สเปส...สเปส...แล้วก็สเปส

.............เรื่องการหาความสัมพันธ์ระหว่างสเปสกับสเปสและสเปสกับเวลา เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ยากมาก ๆ เด็ก ๆ ไม่มีทางเข้าใจแน่เลยค่ะ ดูซิคะ แค่ชื่อก็ยากแล้ว ..............โฮ่ โฮ่ โฮ่ ! จริง ๆ เรื่องนี้ง่ายมาก ๆ เลยละค่ะ ครูหลิวแค่ขู่ให้ตกใจเท่านั้นเอง ทักษะการหาความสัมพันธ์ระหว่าง สเปสกับสเปสและสเปสกับเวลา เป็นกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ขั้นพื้นฐาน อีกขั้นหนึ่งค่ะ ก่อนที่เด็ก ๆ จะได้เรียนรู้ถึงการหาความสัมพันธ์ระหว่าง สเปสกับสเปสและสเปสกับเวลานั้น เด็ก ๆ ต้องรู้จัก ความหมายของสเปสกันซะก่อน สเปส (space) ตาม Dictionary แปลว่า (1) ที่ว่างในท้องฟ้า , อวกาศ (2) ระยะห่าง , ช่องว่าง ดังนั้น ............. สเปส หมายถึง ที่ว่างที่วัตถุนั้นครองอยู่ (เอ้า ! ทำหน้างง ทำไมล่ะ) เด็ก ๆ คะ ตอนนี้บนบ่าของเด็ก ๆ ยังว่างอยู่ใช่ไหมคะ เอาหนังสือขึ้นไปวางบนบ่าหน่อยค่ะ (ทำด้วยค่ะ ......ตอนนี้เราอยู่ในช่วงทำการทดลองกันนะคะ ฮึ่ม ฮึ่ม....) เห็นไหมคะหนังสือครอบครองพื้นที่ว่างบนบ่าเราอยู่ค่ะ ............แล้วสเปสของหนังสือหน้าตาเป็นยังไงคะ อื่อ ใช่แล้วละค่ะ ก็หน้าตาเหมือนห...

แก้ความสงสัยเรื่องสเปส

................เด็ก ๆ คะ สเปสของวัตถุ หมายถึงที่ว่างที่วัตถุนั้นครองอยู่ ซึ่งจะมีรูปร่าง ลักษณะเหมือนกับวัตถุน้น ซึ่งจะพูดกันจริง ๆ แล้ว สเปสของวัตถุก็หมายถึง วัตถุ ุ นั่นล่ะค่ะตัวอย่างวัตถุ เช่น กระเป๋า ดินสอ ปากกา ฯลฯ (ทุกสิ่งที่ทำจากวัสดุ = ไม้ พลาสติกกระดาษ ผ้า โลหะ แก้ว ยาง ดินหิน ค่ะ) ดังนั้นสเปสของวัตถุ ก็หมายถึงวัตถุนั่นแหละค่ะ อันเดียวกัน เพียงแต่ว่าสเปสของวัตถุ เขาจะเน้นในเรื่องของการมองที่ว่างที่จะวางวัตถุได้ เท่านั้นเอง เช่น การหล่อปูนปาสเตอร์ ทำเป็นรูปสัตว์ชนิดต่าง ๆ ต้องมีแบบพิมพ์ เป็นที่ว่าง ๆ สำหรับเทปูนปาสเตอร์ลงไป ให้ได้ตุ๊กตาตามแบบพิมพ์ค่ะ เรื่องการหาความสัมพันธ์ระหว่าสเปสกับสเปสของวัตถุและสเปสกับเวลา มีเนื้อหา 3 ประเด็นใหญ่ ๆ ค่ะ (1) สเปสของวัตถุ (2) ความสัมพันธ์ระหว่าง สเปสกับสเปสของวัตถุ (3) ความสัมพันธ์ระหว่างสเปสกับเวลา ค่ะ ...............เป็นไงคะ อาการงงหายไปแล้วใช่ไหมคะ ถ้ายังมาดูภาพนี้จะเข้าใจง่ายขึ้นนะคะ ลูกชายใครบ้างจำได้บ้างไหมเอ่ย เด็ก ๆ ครับ ภาพนี้เป็นความสัมพันธ์ระหว่าง สเปส กับ สเปส...